พระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ได้ประกาศให้ฟอสติน่า โกวอลสก้า เป็นนักบุญองค์แรกของสหัสวรรษใหม่ พระองค์ทรงเรียกเธอว่า "พระพรที่พระเป็นเจ้าทรงประทานแก่ยุคของเรา"
ในมิสซาสถาปนานักบุญ เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่บริเวณหน้าพระมหาวิหารนักบุญเปโตร พระสันตะ
ปาปาได้ตรัสว่า: "นักบวชหญิงชาวโปแลนด์ คณะพระเมตตา ได้สิ้นใจในปี 1938 อายุ 33 ปี และได้บันทึกเหตุการณ์ประจำวัน เกี่ยวกับการประจักษ์และการเปิดเผยจากเบื้องบน ซึ่งได้ดลใจให้
คริสตชนทั่วโลกเกิดความศรัทธาต่อพระเมตตา ชีวิตของเธอมี "ความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ของศตวรรษที่ 20""
"สมัยนั้นเป็นช่วงเวลาสำคัญมาก ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 พระคริสตเจ้าได้ทรงมอบสารพระเมตตาของพระองค์แก่นักบุญฟอสติน่า"
"คนที่ยังจำได้ หรือเป็นสักขีพยาน หรือมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ ซาบซึ้งในสารพระเมตตาที่พระเป็นเจ้าได้ประทานแก่โลก เนื่องจากหลายล้านคนต้องทุกข์ทรมานอย่างน่าหวาดกลัวในปีเหล่านั้น"
ขณะพระองค์เป็นพระอัครสังฆราชแห่งกรุงคราคาว พระสันตะปาปาได้ทรงสนพระทัยซิสเตอร์ฟอสติน่า และได้ช่วยสะสางเรื่องกับสำนักวาติกัน ที่ได้สั่งห้ามเผยแพร่หนังสือบันทึกประจำวันของเธอ โดยแสดงให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเห็นความจริงที่ว่า หนังสือบันทึกของเธอได้ถูกแปลอย่างผิดพลาด ในปี 1978 สำนักวาติกันได้ยกเลิกการห้ามหกเดือนก่อนที่พระองค์ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา | | |
บทสวดลูกประคำรำพึงวิงวอนพระเมตตาของพระเป็นเจ้า
(เวลาบ่าย 3 โมง) พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับนักบุญฟอสติน่า (1905-1938): "จงสวดลูกประคำรำพึงถึงพระเมตตาของพระเป็นเจ้า"
โดยเริ่มด้วย บทข้าแต่พระบิดา บทวันทามารีอา และ บทข้าพเจ้าเชื่อถือพระเป็นเจ้า อย่างละหนึ่งจบ
ที่เม็ดข้าแต่พระบิดาให้สวดดังนี้:
ข้าแต่พระบิดา พระองค์สถิตชั่วนิรันดร ข้าพเจ้าถวายพระองค์ พระกายและพระโลหิต พระวิญญาณและพระเทวภาพ
ของพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรสุดที่รักของพระองค์พระเป็นเจ้าและพระมหาไถ่ของเรา เพื่อชดเชยบาปของเราและของทั้งโลก
ที่เม็ดวันทามารีอาให้สวดดังนี้:
โดยพระมหาทรมานอันเศร้าระทมขมขื่นของพระองค์โปรดเมตตาเราและทั้งโลกเทอญ
ตอนจบ สวดบทนี้ 3 ครั้ง:
พระเจ้า ศักดิ์สิทธิ์
พระเจ้า ศักดิ์สิทธิ์ ทรงพระฤทธานุภาพ
พระเจ้า ศักดิ์สิทธิ์ ชั่วนิรันดร
โปรดเมตตาเราและทั้งโลกเทอญ
|
| | บ่าย 3 โมงเป็นช่วงเวลาแห่งพระเมตตาของเรา
"เวลาบ่าย 3 โมง ให้สวดขอพระเมตตาของเราสำหรับคนบาปทั้งมวล แม้จะเป็นเวลาสั้นชั่วครู่เดียวก็ตาม จงรำพึงถึงพระมหาทรมานของเรา โดยเฉพาะขณะเข้าตรีทูต เราถูกทอดทิ้งโดยสิ้นเชิง นี่เป็นชั่วโมงแห่งพระเมตตาล้นพ้นสำหรับทั้งโลก ในชั่วโมงนี้ โดยฤทธิ์กุศลจากพระมหาทรมานของเรา เราจะประทานแก่ผู้สวดรำพึงทุกสิ่งที่วอนขอจากเรา" |
บทรำพึงถึงพระมหาทรมาน
โดยนักบุญอัลฟอนโซ พระเยซูเจ้าเข้าตรีทูตในสวน พระเสโทของพระองค์ไหลออกมาเป็นพระโลหิต
ในเวลาตรีทูตพระมหาไถ่เสด็จเข้าไปในสวนเยเซมานี พระองค์เริ่มพระมหาทรมานอันขมขื่นที่สุด ปล่อยให้ความกลัว ความอ่อนเพลียละเหี่ยใจ ความเศร้าโศกเล่นงานพระองค์อย่างอิสสระ: "พระองค์เริ่มกลัว หนักใจ และเศร้าระทมขมขื่นอย่างที่สุด" แล้วพระองค์รู้สึกกลัวอย่างจับจิตจับใจ ที่พระองค์จะต้องเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสและสิ้นพระชนม์ เวลานั้นพระองค์มองเห็นอย่างชัดเจนในจิตใจของพระองค์: "รอยเฆี่ยน หนาม ตะปู และไม้กางเขน" พระองค์ไม่ได้เห็นทีละอย่าง แต่เห็นทุกอย่างประดังกันเข้ามา ทำให้พระองค์ทุกข์อย่างมหันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสิ้นพระชนม์อันโดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยวปรากฎต่อหน้าพระองค์ ซึ่งพระองค์จะต้องทนทรมาน ไม่มีความบรรเทาจากมนุษย์หรือพระเป็นเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ภาพเครื่องมือมหาทรมาน และการสบประมาททำให้พระองค์หวาดกลัว พระองค์วิงวอนพระบิดาผู้สถิตชั่วนิรันดร ช่วยพระองค์พ้นจากสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้น: "พระบิดา ถ้าเป็นไปได้ ขอให้กาลิกนี้ผ่านพ้นลูกไป" ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? นี่ไม่ใช่พระเยซูเจ้าองค์เดียวกันหรือ พระองค์ปรารถนาอย่างร้อนรน ที่จะทรมาน และสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษย์? พระองค์ได้ตรัสว่า: "เรามาล้างบาป เราจะต้องอดทนจนกระทั่งงานของเราสำเร็จ" แล้วทำไมพระองค์กลัวความเจ็บปวดทรมานเหล่านี้และการสิ้นพระชนม์แบบนี้? พระองค์ไม่กลัวหรอก พระองค์ยินดีสิ้นพระชนม์เพื่อเรา แต่พระองค์ไม่ต้องการให้เราเข้าใจผิด คิดว่า โดยพระเทวภาพของพระองค์ หรือความเป็นพระเป็นเจ้าของพระองค์ พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ โดยไม่มีอาการเจ็บปวดทรมานแม้แต่นิดเดียว ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้สวดบทภาวนานั้น อ้อนวอนพระบิดา ขอให้เราเข้าใจอย่างถูกต้อง พระองค์ไม่เพียงสิ้นพระชนม์ เพราะพระองค์ทรงรักเรา แต่ความตายของพระองค์เป็นความตายที่เจ็บปวด ทรมานอย่างแสนสาหัสด้วย
พระเยซูเจ้าถูกตรึงและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
ขณะพระเยซูเจ้าแขวนอยู่บนไม้กางเขน ไม่มีใครปลอบพระทัยพระองค์เลย ในกลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบๆพระองค์ บางคนสบประมาทพระองค์ เยาะเย้ยพระองค์ หรือพูดว่า: "ถ้าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเป็นเจ้าจริงๆ ลงมาจากกางเขนสิ" คนอื่นพูดว่า: "พระองค์ทรงช่วยคนมากมายให้รอด แต่ช่วยพระองค์เองไม่รอด" พระองค์ไม่ได้รับความเห็นใจจากเพื่อนนักโทษด้วยกัน โจรคนหนึ่งที่แขวนอยู่บนไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ หมิ่นประมาทพระองค์ ความจริงพระนางมารีอา ยืนอยู่ที่เชิงไม้กางเขนเพื่อช่วยพระบุตรของพระนาง ผู้ซึ่งกำลังจะสิ้นพระชนม์ ภาพพระมารดากำลังอยู่ในมหาทุกข์ แทนที่จะปลอบพระทัยพระองค์ กลับเพิ่มความทุกข์มหันต์แก่พระองค์ พระองค์เห็นพระมารดาต้องเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสในดวงพระทัยของพระนาง เพราะพระนางรักพระองค์ ด้วยเหตุที่องค์พระมหาไถ่ไม่สามารถหาความบรรเทาทุกข์ในโลกนี้ได้เลย พระองค์จึงเงยพระพักตร์มองหาพระบิดาในสวรรค์ พระองค์ทรงทอดพระเนตร เห็นพระบุตรปกคลุมด้วยบาปทั้งหมดของมนุษยชาติ ซึ่งพระองค์กำลังชดเชยจนเป็นที่พอพระทัย พระบิดาเจ้าทรงตรัสว่า: "ลูกสุดที่รัก พ่อไม่สามารถบรรเทาความทุกข์ของลูก พ่อจำเป็นต้องทิ้งลูกให้เจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส และปล่อยให้ลูกตาย โดยไม่มีความบรรเทาแม้แต่นิดเดียว" เพราะฉะนั้นพระเยซูเจ้าได้ร้องออกมาอย่างดังว่า: "พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ทำไมพระองค์ทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า?"
พระเยซูเจ้า ทำไมข้าพเจ้าเห็นพระองค์เจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสและทุกข์อย่างมหันต์? เหตุผลก็คือพระองค์ทุกข์อย่างมหันต์เพื่อมนุษย์จะได้รักพระองค์ แต่มีน้อยคนที่รักพระองค์ โอ้ เปลวไฟแห่งความรักอันอ่อนหวาน เปลวไฟนี้กำลังเผาผลาญชีวิตขององค์พระเจ้า ข้าพเจ้าอ้อนวอนพระองค์ โปรดเผาผลาญข้าพเจ้าให้หมดสิ้นความรักโลกด้วยไฟความรักพระเป็นเจ้า พระองค์พลีชีวิตบนไม้กางเขนอันน่าหวาดกลัว เพราะพระองค์ทรงรักข้าพเจ้า พระเจ้าข้า พระองค์ได้มองเห็นล่วงหน้าความผิดต่างๆที่ข้าพเจ้าจะทำต่อพระองค์ หลังจากพระองค์ได้ไถ่บาปข้าพเจ้าแล้ว พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อข้าพเจ้าได้อย่างไร? ข้าพเจ้าอ้อนวอนพระองค์ โปรดล้างแค้นข้าพเจ้า เพื่อความรอดของข้าพเจ้า โปรดประทานแก่ข้าพเจ้าความทุกข์ ขอให้ความทุกข์นี้ดลใจข้าพเจ้าเป็นทุกข์เสียใจ ที่ได้ทำเคืองพระทัยพระองค์ มานี่ รอยเฆี่ยน หนาม ตะปู และไม้กางเขน มหาทรมานเหล่านี้กำลังทรมานองค์พระเจ้าอย่างแสนสาหัส มาทำให้ดวงใจของข้าพเจ้าบาดเจ็บ และเตือนข้าพเจ้าเสมอถึงความรักของพระองค์ต่อข้าพเจ้า พระเยซูเจ้า โปรดกอบกู้ข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้รักพระองค์ และวันหนึ่งข้าพเจ้าจะได้สรรเสริญพระองค์ชั่วนิรันดรในสวรรค์ ขอให้การกอบกู้วิญญาณนี้ประทานพระหรรษทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้รักพระองค์สุดดวงใจ และสุดวิญญาณในโลกนี้ อาแมน
|